วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

.. วันวาเลนไทน์ ..











.. วันวาเลนไทน์ ..
วันวาเลนไทน์ นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยัง สืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการ ที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุดภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญ " วาเลนไทน์ " ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สองท่าน นักบุญ วาเลนไทน์ และนักบุญ มาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆด้วย และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้ นักบุญ วาเลนไทน์ ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์

"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้"

ตรุษจีน
ด้วยมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับการเกษตรกรรมซึ่งดินฟ้าอากาศและฤดูกาลเป็นปัจจัยสำคัญทำให้บรรพชนจีนประดิษฐ์คิดค้นปฏิทินขึ้น เพื่อใช้กำหนดวันเวลาเหมาะสมในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว การสังเกตอย่างชาญฉลาดทำให้การโคจรของดวงดาวทั้งหลายมีอิทธิพลต่อการกำหนด วันเดือนปี ผู้คนเฝ้าดูวันคืนที่เวียนวนผันผ่านไม่สิ้นสุดจากปีเก่าสู่ปีใหม่อันน่า ยินดี ควรแก่การเฉลิมฉลอง ตรุษ แปลว่า สิ้นปี ดังนั้นเทศกาลตรุษจีนจึงเป็นเทศกาลที่มีขึ้นเพื่อฉลองการสิ้นสุดของปีเก่า และการเริ่มต้นของปีใหม่ ถือกันว่าเป็นการเฉลิมฉลองที่สามารถรอดพ้นจากเรื่องไม่ดีของปีเก่ามาพบปี ใหม่ที่สุขสันต์ได้ชาวจีนเรียกเทศกาลนี้อีกอย่างหนึ่งว่า เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หรือ ขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ และเชื่อกันว่าช่วงเวลานี้เทพเจ้าจะเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ฉะนั้นจึงควรสักการบูชาท่านเพื่อความเป็นสิริมงคลวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก
การไหว้ตรุษจีนการไหว้ตรุษจีนมีประวัติยาวนานย้อนหลังกลับไปถึงสมัยราชวงศ์โจว เมื่อกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้วแต่เดิมมีการไหว้กันยาวนานถึง ๑๕ วัน แต่ในปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป ธรรมเนียมการไหว้ตรุษจีน จึงลดลงเหลือเพียง ๓ วัน ดังนี้ วันจ่าย หรือ ตื่อเส็ก คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหาร ผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้านหยุดพักผ่อนยาว ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ หรือ ตี่จู่เอี๊ย ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้ว ถ้าเราเดินเข้าไปในบ้านหรือร้านค้าของจีน คงเคยเห็นศาลเจ้าเล็กๆสีแดงสด ศิลปะจีน วางอยู่บนพื้น ข้างหน้าศาลวางเครื่องบูชา นั่นคือศาลตี่จู่เอี๊ยหรือเจ้าที่นั่นเอง ธรรมเนียมการนับถือตี่จู่เอี๊ยนี้คล้ายกับการนับถือพระภูมิเจ้าที่ของคนไทย นั่นเอง
ในสมัยโบราณจะมีการเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาในวันนี้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีพระคุณที่หุงข้าวต้มปลาให้เราได้กินตลอดมา และเชื่อว่าเทพเจ้าเตาจะนำบันทึกความดีความชั่วที่เราทำมาตลอดปีขึ้นไปให้ เทพเจ้าบนสวรรค์ตรวจสอบจึงต้องมีการเลี้ยงส่งท่าน นัยว่าเอาใจท่านนั่นเอง รุ่งขึ้นคือ วันสิ้นปี จะมีการไหว้ 3 ครั้ง ตอนเช้ามืดจะไหว้ ไป๊เล่าเอี๊ย เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์ 3 อย่าง (ซาแซ ได้แก่ หมูสามชั้นต้ม ไก่ เป็ด ปรับเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นได้ หรือมากกว่านั้นได้จนเป็นเนื้อสัตว์ห้าชนิด) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง ตอนสาย จะไหว้ไป๊เป้บ๊อ คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเพื่อความเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว ตอนบ่าย จะไหว้ ไป๊ฮ้อเฮียตี๋ เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว และผีไม่มีญาติ เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเป็นสิริมงคล
วันขึ้นปีใหม่ หรือ วันเที่ยววันขึ้นปีใหม่ หรือ วันเที่ยว หรือ วันถือ คือวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งของปี เรียกว่าวันชิวอิด วันนี้ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน คือ ไป๊เจีย คือ การไปไหว้ขอพรและอวยพรญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้ เหตุที่ให้ส้มก็เพราะออกเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "กา" ซึ่งไปพ้องกับคำว่าทอง เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำโชคดีไปให้ เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือเพราะเป็นวันที่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นวันเริ่ม ต้นชีวิตใหม่ จะถือเคล็ดบางอย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่จับไม้กวาด เชื่อกันว่าเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย ซึ่งเป็นเทพแห่งโชคลาภ จะเสด็จลงมาบนโลก จึงต้องตั้งเครื่องไหว้รับท่าน มีเกร็ดว่าเทพองค์นี้จะเสด็จมาในเวลาและทิศทางต่างๆกันไปในแต่ละปี จึงต้องมีซินแสคอยบอกเพื่อให้ผู้ไหว้ตั้งโต๊ะและหันหน้าไหว้ท่านได้ถูกทิศ
ชุดของไหว้ ที่ใช้ในการไหว้เทพเจ้า ประกอบด้วยหมู หมายถึงความมั่งคั่ง หมูอ้วนแสดงถึงความกินดีอยู่ดี หัวหมูเป็นสัญลักษณ์แห่งสมองและปัญญาไก่ หมายถึง การตรงเวลา ความรู้งาน ไก่มีหงอนสื่อถึงหมวกขุนนาง แสดงถึงความเจริญก้าวหน้า ตับ ภาษาจีนเรียกว่า กัว ซึ่งพ้องกับคำว่า กัว ที่แปลว่าขุนนาง หมายถึงความก้าวหน้าในหน้าที่การงานปลา คนจีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า ฮื้อ ซึ่งพ้องกับคำว่า ฮื้อ ที่แปลว่าเหลือ มีนัยให้เหลือกินเหลือใช้กุ้งมังกร หมาย ถึงมีอำนาจวาสนา แต่คนแต้จิ๋วจะเปลี่ยนจากกุ้งมังกรเป็นเป็ด และเปลี่ยนเป็นปลาหมึกแห้งสำหรับคนจีนแคะ ด้วยเป้นความเชื่อที่ถือกันมาในท้องถิ่นเดิม
ชุดกับข้าว ซึ่งทำไหว้ผีบรรพบุรุษและไว้รับประทานกันเองหลายอย่าง ล้วนมีนัยมงคล เช่นลูกชิ้นปลา แต้จิ๋วออกเสียงว่า ฮื้อ-อี๊ แปลว่า ลูกปลากลมๆ หมายถึงความสามัคคีกลมเกลียวผัดตับกับกุยช่าย ตับหมายถึงความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน กุยช่าย ออกเสียงเหมือน กุ่ย ซึ่งหมายถึง รวยผัดถั่วงอก หมายถึงความเจริญงอกงาม บ้างก็ว่าเปรียบเหมือนหนวดมังกร สื่อถึงอำนาจวาสนาเต้าหู้ ออกเสียงตามสำเนียงจีนว่า โตฟู หมายถึงความสุขสาหร่ายทะเล เรียกว่า ฮวกฉ่าย ออกเสียงคล้าย ฮวดใช้ ที่แปลว่าโชคดี ร่ำรวย
ชุดของหวานขนมถ้วยฟู คนจีนเรียก ฮวกก้วย ซึ่งแปลว่าขนมแห่งความเจริญงอกงามขนมคักท้อก้วย คือ ซาลาเปา มีไส้ต่างๆ ซาลาเปานั้น คำว่า เปา หมายถึงห่อ เมื่อมีไส้ที่เป็นมงคล เช่นไส้เต้าหู้ ซึ่งมีความหมายว่า ความสุข ก็จะแปลว่า ห่อความสุขมาให้ ไส้กุยช่าย ซึ่งหมายถึงความร่ำรวยก็หมายถึงห่อเงินห่อทองมาให้ขนมซิ่วท้อ เป็นซาลาเปาปั้นเป็นรูปลูกท้อแต้มสีชมพู ท้อเป็นสัญลักษณ์แห่งความมีอายุยืนขนมไข่ เรียกว่า หนึงก้วย ไข่หมายถึงการเกิดและการเจริญเติบโตโหงวเส็กทึ้ง ไทยเรียกขนมจันอับ ประกอบขึ้นจากขนมห้าอย่าง คือถั่วตัด งาตัด ถั่วเคลือบ ข้าวพอง ซึ่งหมายถึงความเจริญงอกงาม และฟักเชื่อม ซึ่งหมายถึงความร่ำรวยและความหวานของชีวิต
ชุดผลไม้ ส้ม แต้จิ๋วเรียก กา แต่จีนกลางเรียก ไต้กิก ไต้แปลว่า ใหญ่ กิก แปลว่า มงคลกล้วย แต้จิ๋วออกเสียงว่า เก็ง-เจีย พ้องกับวลีว่า เก็ง-เจีย-เก็ง-ไล้ แปลว่าดึงโชคเข้ามา กล้วยออกลูกเป็นเครือ สื่อความหมายถึงการมีลูกหลานมากองุ่น ออกเสียงว่า พู่-ท้อ พู่หมายถึง งอกงาม ท้อเป็นชื่อของผลไม้ที่มีความหมายให้อายุยืนสับปะรด คนจีนแต้จิ๋วเรียกว่า อั้งไล้ แปลตามตัวว่า เรียกสีแดงเข้ามา สีแดงเป็นสีมงคล จึงถือว่า หมายถึงการเรียกเอาสิริมงคลเข้ามา
นอกจากนี้ในการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนเรายังพบแต่สีแดง ซึ่งเชื่อว่าเป็นสีแห่งความเป็นมงคล สีขอ งจักรวาล มีการติดแผ่นป้ายเขียนคำมงคลไว้ที่หน้าประตูบ้านเรียกว่า แผ่นตุ้ยเลี้ยง คำมงคลที่เราคุ้นเคยเช่น ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ แปลว่า ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่ เป็นต้น การจุดประทัดเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดี การเชิดมังกรและสิงโต ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นมงคล เป็นต้น ธรรมเนียมจีนให้ความสำคัญการความเป็นสิริมงคลในการดำเนินชีวิต มีนัยแห่งการสร้างความเชื่อมั่นเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิต นับเป็นความชาญฉลาดทางจิตวิทยา อย่างน่ายกย่องของบรรพชน
สิ่งที่ไม่ควรทำตอนวันขึ้นปีใหม่ (วันตรุษจีน)ควรหลีกเลี่ยงการทำงานบ้านในวันขึ้นปีใหม่ ตรุษจีน,วันตรุษจีนเนื่องจากการทำงานบ้าน เช่น การซักล้าง หรือ การกวาดบ้านปัดฝุ่น จะเป็นการขับไล่ความโชคดีออกไป ดังนั้นการทำความสะอาดบ้านจึงควรเริ่มทำตั้งแต่ก่อนที่วันขึ้นปีใหม่จะมาถึงตรุษจีน,วันตรุษจีนไม่ควรสระผมในวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายของวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากการสระผมถือเป็นการชะล้างความโชคดีที่มาถึงในวันขึ้นปีใหม่ ตรุษจีน,วันตรุษจีนไม่ควรใช้ของมีคมในวันขึ้นปีใหม่ ของมีคมต่างๆ เช่น มีด , กรรไกร , ที่ตัดเล็บ เนื่องจากถือว่าการกระทำของของมีคมนี้จะเป็นการตัดสิ่งหรืออนาคตที่ดี ที่จะนำมา ในวันขึ้นปีใหม่ตรุษจีน,วันตรุษจีนควรระมัดระวังในการใช้คำพูดที่มีความหมายไปในทางลบรวมทั้งหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกัน คำที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยหรือความตายเป็นคำที่เราควรหลีกเลี่ยงในวันขึ้นปีใหม่ตรุษจีน,วันตรุษจีนหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานศพ และการฆ่าสัตว์ปีกตรุษจีน,วันตรุษจีนควรระมัดระวังในการทำสิ่งใดๆ ไม่ควรที่จะให้เกิดการสะดุด หรือ ทำสิ่งของตกแตก ซึ่งนั่นจะหมายถึงการนำความโชคไม่ดีเข้ามาในอนาคต
อั่งเปา สัญลักษณ์อีกอย่างของเทศกาลนี้ คือ อั่งเปา (ซองแดง) คือ ซองแดงใส่เงินที่ผู้ใหญ่แล้วจะมอบให้ผู้น้อย และมีการแลกเปลี่ยนกันเอง หรือ หรือจะใช้คำว่า แต๊ะเอีย (ผูกเอว) ที่มาคือในสมัยก่อน เหรียญจะมีรูตรงกลาง ผู้ใหญ่จะร้อยด้วยเชือกสีแดงเป็นพวงๆ และนำมามอบให้เด็กๆ เด็กๆ ก็จะนำมาผูกเก็บไว้ที่เอว

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552

วันไหว้ครู




วันไหว้ครู เป็นกิจกรรมหนึ่งที่สถาบันการศึกษาทุกระดับทุกแห่งจัดขึ้นในช่วงต้น ๆ ของปีการศึกษา สะท้อนถึงคุณค่าทางจิตใจของคนไทย
- สะท้อนถึงความผูกพันใกล้ชิดระหว่างครูกับศิษย์ - สะท้อนให้เห็นถึงความกตัญญูรู้คุณของสังคมไทยต่อผู้มีพระคุณ - สะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความเมตตา ของครูต่อศิกษย์ - สะท้อนถึงความละเอียดอ่อนทางจิตใจ - แฝงสาระที่เป็นคติธรรมสอนใจมากมาย
วันไหว้ครู เป็นวันที่นักเรียนจะได้แสดงคุณธรรมในจิตใจ คือไหว้ครู คำว่า ไหว้ครู นั้น เป็นถ้อยคำธรรมดาสามัญที่เข้าใจกันอยู่ และทราบถึงความหมายกันเป็นอย่างดี แต่ก็จะขอขยายความคำว่า ไหว้ครู เพื่อประกอบความรู้และประดับสติปัญญาตามสมควร
ไหว้ครู เป็นคำไทย 2 คำ นำมาเชื่อมกัน คือคำว่า
ไหว้ กับคำว่า ครู แต่ละคำมีความหมายอยู่ในตัว คำว่า ไหว้ ก็หมายถึงการแสดงสัมมาคารวะ การบูชา การแสดงความนับถือ การแสดงความเทิดทูน นี่เรียกว่า ไหว้ เป็นคำกิริยาที่ใช้กันเป็นประเพณีนิยมของไทย และในบางกรณีคำนี้ ก็ย่อมจะกินความคลุมไปถึง กราบซึ่งในความหมายว่ายอมตนลงราบคาบด้วย เพราะฉะนั้นไหว้ก็ดีกราบก็ดี รวมอยู่ในความหมายอันเดียวกัน คือ แสดง ความยกย่อง แสดงอาการเชิดชูบูชานับถือ
โอกาสนี้เราทั้งหลาย ได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครู อาจารย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ให้ความถนัด ครูนั้นเป็นทิศๆ หนึ่งในจำนวนทิศทั้ง 6 โดยเฉพาะเป็นทิศเบื้องขวา เรียกว่า
ทักขิณ ทิศที่ว่าให้ความถนัด คือเป็นผู้ให้วิชาความรู้แก่เรา
ประโยชน์ของการไหว้ครู
หากการแสดงคุณธรรมด้วยการไหว้ไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้ว ประเพณีน่าจะเลิกกันเสียที แต่ที่ต้องไหว้กันอยู่ประจำทุกปี ทุกโรงเรียน แสดงว่าต้องมีประโยชน์ ประโยชน์ของการไหว้ คือ
1. ผู้ไหว้ได้รับความเมตตาจากผู้ถูกไหว้ 2. ผู้ไหว้ได้รับความสบายใจ 3. ช่วยให้ผู้ถูกไหว้หันมาสำรวจตรวจตราพัฒนาตนเอง 4. ได้รักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยไว้ 5. บรรเทาโทษเสียได้
โบราณท่านกล่าวว่า "ศรต้องมีพิษ ศิษย์ต้องมีครู ศิษย์มีครูเหมือนงูมีพิษ ศิษย์ไม่มีครู เหมือนงูไม่มีพิษ" ไม่น่ากลัวอะไร ไม่ต่างอะไรกับปลาไหล รอเวลาให้เขาผัดเผ็ดเท่านั้น "ศิษย์ดีต้องมีคุณธรรม ศิษย์ไม่ได้ความคุณธรรมไม่มี" นักเรียนจะต้องรู้จักข้าว ข้าวรวงโตที่มีวิตามิน เวลามันออกรวง จะน้อมรวงถ่วงยอดแสดงอาการดุจคารวะแม่พระธรณี แต่ข้าวรวงใดที่ชี้เด่แทบจะทิ่มก้นเทวดา แสดงว่าข้าวรวงนั้นไม่มีวิตามิน เป็นข้าวขี้ลีบ คนก็เหมือนกัน หากรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แสดงว่าเป็นคนมีคุณภาพเป็นผู้มีคุณธรรม บางคนเป็นโรคสันหลังแข็งก้มไม่ลง บุคคลนั้นไม่ต่างอะไรกับข้าวขี้ลีบ


พิธีไหว้ครู หรือ การไหว้ครู มีหลายอย่าง เช่น การไหว้ครูนาฏศิลป์ ไหว้ครูดนตรี ไหว้ครูโหราศาสตร์ ไหว้ครูแพทย์แผนไทย เป็นต้น ซึ่งแต่ละอย่างก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไป เมื่อเอ่ยถึง พิธีไหว้ครู เรามักจะหมายถึง การไหว้ครูในสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำในช่วงเปิดภาคการศึกษา การไหว้ครู เป็นประเพณีสำคัญที่มีมาแต่โบราณ ถือเป็นพิธีกรรมที่แสดงความเคารพและระลึกถึงพระคุณของบูรพาจารย์ ครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์วิชาความรู้ให้ ทำให้เราสามารถนำไปประกอบวิชาชีพ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต โดยทั่วไป พิธีไหว้ครูมักจะจัดในวันพฤหัสบดี ด้วยถือว่าพระพฤหัสเป็นเทพที่ส่งเสริมวิทยาการและความเฉลียวฉลาด ซึ่งเป็นคุณสมบัติของครู จึงถือเอาวันนี้เป็นวันไหว้ครู เพื่อความเป็นสิริมงคล
คำสวดไหว้ครูทำนองสรภัญญะ
ปาเจรา จริยา โหนติ คุณุตตรา นุสาสกา
ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์ ผู้กอรปเกิดประโยชน์ศึกษา ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา แก่ข้าในกาลปัจจุบัน ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์ ด้วยใจนิยมบูชา ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา ปัญญาให้เกิดแตกฉาน ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนาน อยู่ในศีลธรรมอันดี ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี แก่ข้าและประเทศไทย เทอญ
ปัญญา วุฑฒิ กเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหํ
คำปฏิญาณตน
เราคนไทย ใจกตัญญู รู้คุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เรานักเรียนจักต้องประพฤติตนให้อยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียน
มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น
เรานักเรียนจักต้องปฏิบัติตนไม่ให้เป็นที่เดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น


สิ่งที่ต้องเตรียมในการไหว้ครู
การไหว้ครู ในอดีตนั้น มักจะใช้ หญ้าแพรก ข้าวตอก ดอกมะเขือ และดอกเข็ม เป็นองค์ประกอบในพานดอกไม้แต่ละอย่างล้วนเป็นปริศนาธรรมทั้งสิ้น



- หญ้าแพรก เป็นตัวแทนที่แสดงถึงความเข้มแข็ง อดทนถึงแม้จะแห้งแล้ง คนเดินเหยียบย่ำ หญ้าแพรกก็จะไม่ตาย พอได้รับโอกาสที่เหมาะสม ได้รับความชุมชื้น ก็จะแตกยอดเจริญงอกงามเป็นอย่างดี ครูจึงต้องเป็นผู้ที่เข้มแข็งอดทนต่อปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนนักศึกษามากมาย และค่อย ๆสะท้อนปลูกฝังความมุ่งมั่นอดทน เข้มแข็งไปสู่นิสัยของนักเรียน นักศึกษา ฝึกให้เขาเข้มแข็งอดทนให้จงได้
- ข้าวตอก เป็นข้าวที่เกิดจากการใช้เมล็ดข้าสารไปคั่ว โดยมีฝาครอบไว้ เมื่อได้รับความร้อนระดับหนึ่ง เมล็ดข้าวก็จะพองตัวและแตกตัวออกเป็นข้าวตอก มีกลิ่นหอม เช่นเดียวกับการให้การศึกษา ครูผู้สอนต้องให้การอบรมคู่กันไปด้วย "อบเพื่อให้สุกรมเพื่อให้หอม" เช่นเดียวกับการทำข้าวตอก
การสั่งสอนอบรมของครู บางครั้งต้องมีการว่ากล่าวตักเตือน ติติงหรือทำโทษ ในการกระทำที่ไม่เหมาะสมเสมือนการใช้ความร้อนกับเมล็ดข้าว โดยมีกฏระเบียบหรือแนวปฏิบัติ เสมือนเป็นฝาครอบ ไม่ให้ลูกศิษย์กระเด็นกระดอนออกนอกลู่นอกทาง ครูจึงต้องทำหน้าที่สั่งสอนอบรมให้นักเรียน นักสึกษาเป็นดังเช่นข้าวตอก คือ "สุกและหอม" ซึ่งหมายถึง การสั่งสอนแนะนำให้เขามีความรู้ความสามารถและเป็นคนดีที่ยอมรับนั่นเอง

- ดอกมะเขือ ลักษณะของดอกมะเขือ เวลาบานจะสีขาวสะอาดและดอกจะโน้มคว่ำลงพื้
นดินซึ่งก็เป็นปริศนาธรรม แสดงถึงความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตใจ เป็นคนซื่อสัตย์ อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ
- ดอกเข็ม ลักษณะของดอกเข็มจะมียอดดอกแหลม ซึ่งเป็นปริศนาธรรมว่า ครูต้องจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝังความคิด ให้นักเรียนนักศึกษาเป็นคนฉลาด(หัวแหลม) รู้จักวิเคราะห์วิจารณ์ ใช้ความคิดให้เป็นประโยชน์แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่พบเห็น ความเฉียบคมทางความคิดจะทะลุทะลวงทุกปัญหาได้
คนโบราณช่างชาญฉลาดที่จะสอนศิษย์ด้วยกลวิธีต่าง ๆ แม้กระทั่งการใช้ดอกไม้ต้นไม้ ฯลฯ เป็นสื่อการสอนทำให้ลูกศิษย์ให้ยุคก่อนเก่าได้เรียนรู้จากธรรมชาติ และรู้จักกตัญญูรู้คุณผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์อยู่ตลอดไป และการที่เราใช้ "หญ้าแพรกดอกมะเขือ" ในการไหว้ครูนั้น เพราะเป็นของหาง่าย งอกงามอยู่ทั่วไป
ตอนเช้าตรู่วันพฤหัสซึ่งเป็นวันไหว้ครู เด็กๆจะไปโรงเรียนเช้าเป็นพิเศษ เพื่อ่ไปช่วยกันจัดพานดอกไม้ ซึ่งอาจมีการปักดอกบานไม่รู้โรย ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบบ้าน แซมด้วยหญ้าแพรกและดอกมะเขือ พานดอกไม้นี้เด็กนักเรียนหญิงจะเป็นคนถือ ส่วนเด็กผู้ชายจะถือธูปเทียนและช่อดอกไม้ ( ช่อดอกไม้หมายถึงดอกไม้ที่หาได้เอามารวมกัน แซมด้วยหญ้าแพรกและดอกมะเขือเช่นกัน)
พิธีไหว้ครูจึงเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่นักเรียนทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันมาแสดงความเคารพและระลึกบุญคุณของครูอาจารย์อย่างแท้จริง
ข้อมูลจาก

ข้อมูล - รศ.เฉลา ประเสริฐสังข์ http://vannessa.exteen.com - http://www.act.ac.th/knowledge/teacher/index.asp - http://noknoi.com/


16/01/09

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552

ระบบสารสนเทศ (Information System)

ระบบสารสนเทศ (Information System)
ระบบสารสนเทศ (Information System) คือขบวนการประมลผลข่าวสารที่มีอยู่ ให้อยู่ในรูปของข่าวสารที่เป็นประโยชน์สูงสุด เพื่อเป็นข้อสรุปที่ใช้สนับสนุนการบริหารและการตัดสินใจ ทั้งในระดับปฏิบัติการ ระดับกลาง และระดับสูง ระบบสารสานเทศจึงเป็นระบบที่ได้จัดตั้งเพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับข้อมูลดังต่อไปนี้1.รวบรวมข้อมูลทั้งภายใน ภายนอกซึ่งจำเป็นต่อหน่วยงาน2.จัดกระทำเกี่ยวกับข้อมูลเพื่อให้เป็นสารสนเทศที่พร้อมจะใช้ประโยชน์ได้3.จัดให้มีระบบเก็บข้อมูลเป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกต่อการค้นหาและนำไปใช้4.มีการปรับปรุงข้อมูลเสมอ เพื่อให้อยู่ในสภาพที่ถูกต้องทันสมัยตลอดเวลา
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology)

เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ ประมวลผลและการเผยแพร่สารสนเทศ เพื่อช่วยให้ได้สารสนเทศที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์โดยอาจรวมถึง
1.เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน อุปกรณ์คมนาคมต่างๆ รวมทั้งซอฟต์แวร์ทั้งระบบสำเร็จรูปและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะด้าน ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จัดเป็นเครื่องมือที่ทันสมัย
2.กระบวนการในการนำอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ข้างต้นมาใช้งาน รวบรวมข้อมูล จัดเก็บประมวลผล และแสดงผลลัพธ์เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
ระบบสารสนเทศที่ใช้ในองค์กร สามารถแบ่งเป็น 7 ประเภทคือ
1. ระบบประมวลผลทางธุรกิจ (Transaction Processing System: TPS) ระบบประมวลผลทางธุรกิจ มักเป็นการประมวลผลต่อวัน เช่น การรับ – จ่ายบิล ระบบนี้เป็นระบบสารสนเทศลำดับแรกที่ได้รับ การพัฒนาให้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ลักษณะเด่นของระบบ TPS คื่อ การทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานง่าย ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน ซึ่งระบบนี้เกือบทั้งหมดใช้การประมวลผลแบบออนไลน์ และสิ่งที่องค์กรจะได้รับเมื่อใช้ระบบนี้ คือ
- ลดจำนวนพนักงาน
- องค์กรจะมีการบริการที่สะดวกรวดเร็ว
- ลูกค้าเพิ่มขึ้น
2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System: MIS)ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ ระบบที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารที่ต้องการ การประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้ประโยชน์มากกว่าการช่วยงานแบบต่อวัน MIS จึงมี ความสามารถในการคำนวณเปรียบเทียบข้อมูล ซึ่งมีความหมายต่อการจัดการและบริหารงานเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นระบบนี้ยังสามารถสร้างสารสนเทศที่ถูกต้องทันสมัย
3. ระบบช่วยตัดสินใจ (Decision Support System: DSS) ระบบช่วนตัดสินใจ หมายถึง ระบบหน้าที่จัดเตรียมสารสนเทศ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ หากเป็นการใช้โดยผู้บริหารระดับสูง เรียกว่า “ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เพื่อผู้บริหารระดับสูง” (Executive Support System: ESS)บางครั้งสารสนเทศที่ TPS และ MIS ไม่สามารถช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้ จำเป็นต้องพัฒนาระบบช่วยตัดสินใจ DSS ขึ้น เพื่อช่วยในการตัดสินใจภายใต้ผลสรุปการเปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งอื่น ทั้งถายในและนอกองค์กร โดยเฉพาะ เพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า
4. ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง (Executive Information System - EIS) ระบบที่สร้างสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง คือฺ MIS ประเภทพิเศษที่ถูกพัฒนาสำหรับผู้บริหารระดับสูง โดยเฉพาะช่วยให้ผู้ยรหารระดับสูงที่ไม่คุ้นเคยกับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถใช้ระบบสารสนเทศได้ง่ายขึ้น โดยใช้เมาส์เลื่อนหรือจอภาพแบบสัมผัส เพื่อเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างกันทำให้ผู้บริหารไม่ต้องจำคำสั่ง
5. ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation Systems- OAS) ระบบสำนักงานอัตโนมัติ หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ใช้บุคลากรน้อยที่สุด โดยอาศัยเครื่อมือแบบอัตโนมัติและระบบสื่อสารเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างเครื่องมือเหล่านั้นเข้าด้วยกัน OAS มีจุดมุ่งหมายให้เป็นระบบที่ไม่ใช้กระดาษข่าวสารถึงกันด้วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ แทน ซึ่งมีรูปแบบในการใช้งาน 2 ลักษณะ คือ
1. รูปแบบของระบบงานพิมพ์และการประมวลผลทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่การสื่อสารข้อความ E – mail FAX
2. รูปแบบการประชุมทางไกลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การประชุมทางไกลแบบมีแต่เสียง (Audio Conferencing) การประชุมทางไกลแบบมีทั้งภาพและเสียง (Video – ferencing)
6. ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Artificial Intelligence / Expert System : AI/ES)ระบบผู้เชี่ยวชาญ หมายถึง ระบบที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งคล้ายกับมนุษย์ ระบบนี้ได้รับความรูจากมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์เหตุผล เพื่อตัดสินใจ ความรู้ที่เก็บไว้ในระบบคอมพิสเตอร์นี้ประกอบด้วย ฐานความรู้ และกฏข้อวินิจฉัย ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถตัดสินใจได้เอง เช่น การวินิจฉัยความผิดพลาดของรถจักรดีเซลไฟฟ้า โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และยังต้องนำซอฟแวร์เข้ามาช่วย ได้แก่ ระบบ Call Center
7. ระบบ Call Center- สามารถตอบสนองได้อย่างสมบูรณ์แบบและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตอบข้อซักถามปัญหาต่างๆ รบคำสังจองห้องสัมมนาตามโรงแรม- สนับสนุนการให้บริการช่วยเหลือทางด้านเทคนิกส์การให้บริการข้อมูลข่าวสารที่ต้องการประชาสัมพันธ์และสาระความรูต่างๆ ที่ลูกค้าควรทราบ รวมถึงการรับเรื่องร้องเรียนหรือกิจกรรมต่างๆ หรือคำแนะนำ คำติชม ที่เกี่ยวกับธุรกิจอย่างครบวงจรและสิงที่ลูกค้าที่จะได้รับ คือ ความสะดวกรวดเร็วในการบริการลดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารที่ซับซ้อน และที่สำคัญที่สุด คือได้รับบริการที่ตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจสูงสุด

ระบบสารสนเทศในองค์กรต่างๆจะทำการเก็บรวมรวบข้อมูลจากระดับปฏิบัติการ และทำการประมวลผลเพื่อให้สารสนเทศกับบุคลากรในระดับต่าง ๆ ซึ่งในแต่ละระดับนั้นจะใช้ลักษณะและปริมาณของสารสนเทศที่แตกต่างไป ระบบสารสนเทศในองค์สามารถแทนได้ด้วยภาพปิรามิด ตามรูป

จากภาพจะเห็นได้ว่าโครงสร้างระบบสารสนเทศแบบปิรามิด มีฐานที่กว้างและบีบแคบขึ้นไปบรรจบในยอดบนสุด ซึ่งหมายความว่าสารสนเทศที่ใช้งานจะมีมากในระดับล่างและลดหลั่นน้อยลงไปตามลำดับจนถึงยอดบนสุด บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศได้แก่
-ระดับปฏิบัติการบุคลากรในระดับนี้เกี่ยวข้องอยู่กับงานที่ทำซ้ำ ๆ กัน และจะเน้นไปที่การจัดการรายการประจำวัน นั้นคือบุคลากรในระดับนี้เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศในฐานะผู้จัดหาข้อมูลเข้าสู่ระบบ ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ผู้ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลการสั่งซื้อของลูกค้าเข้าสู่คอมพิวเตอร์ในระบบสารสนเทศเพื่อการขาย หรือตัวแทนการจองตั๋วและขายตั๋วในระบบจองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
-ระดับวางแผนปฏิบัติการบุคคลในระดับนี้ จะเป็นผู้บริหารขั้นต้นที่ทำหน้าที่ควบคุมการปฏิงานประจำวัน หรือการบริหารงานในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น รายงานสรุปผลการขายประจำไตรมาสของพนักงานขาย เพื่อประเมินผลของพนักงานขายแต่ละคน เป็นต้น-ระดับวางแผนการบริหารบุคลากรในระดับนี้ จะเป็นผู้บริหารระดับกลาง มีหน้าที่วางแผนให้บรรลุเป้าหมายต่างๆ ของบริษัท เช่น รายงานผลการขายประจำปีของบริษัทเทียบคู่แข่งต่าง
-ระดับวางแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวผู้บริหารระดับนี้จะเป็นระดับสูงสุด ซึ่งเน้นในการวางนโยบาย สารสนเทศที่ต้องการ จะอยู่ในรูปรายงานสรุป การวิเคราะห์แนวโน้มต่างๆ